
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนชาวไทยทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักกฎหมายไทย เพื่อเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณและเป็นการน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ จึงขออัญเชิญพระประวัติของพระองค์ท่าน เพื่อเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณ ดังต่อไปนี้
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงมีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๔ ในสมเด็จพระปิยมหาราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ ประสูติ ณ วันพุธ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ ฉศก จุลศักราช ๑๒๓๖ พระองค์ทรงเป็นต้นราชสกุล รพีพัฒน
การศึกษา
เมื่อพระชนมายุได้พอสมควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์สมเด็จพระบรมชนก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงเข้าศึกษาภาษาไทยเป็นครั้งแรกในสำนักพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เมื่อได้ทรงผ่านการศึกษาภาษาไทยเป็นเบื้องต้นแล้วได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงเข้าศึกษาภาษาอังกฤษชั้นต้นในสำนักครูรามสามิ และในพุทธศักราช ๒๔๒๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเข้าศึกษาภาษาไทยอยู่ในสำนักพระยาโอวาทวรกิจ (แก่น) เปรียญ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๒๗ ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ โดยมีพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นครูสอน พระองค์ทรงมีความรู้แตกฉานในการเล่าเรียนเป็นที่พอใจของพระยายมราชครูผู้สอนเป็นอย่างยิ่ง
โสกันต์ และทรงผนวช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาของพระราชโอรส ดังนั้นพระองค์จึงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะส่งพระราชโอรสทุกพระองค์ไปทรงศึกษายังต่างประเทศด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พร้อมทั้งทรงวางแผนการศึกษาให้แก่บรรดาพระราชโอรสไว้อย่างครบถ้วน เพื่อสนองความต้องการของบ้านเมืองอย่างตรงเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการคลัง การทูต การทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านกฎหมาย ซึ่งนับว่าจำเป็นสำหรับบ้านเมืองในยุคนั้น ทรงกำหนดเวลาการส่งราชโอรสไปทรงศึกษาในต่างประเทศตามลำดับพระชนมายุ และทรงกำหนดจะส่งพระราชโอรสรุ่นใหญ่ ๔ พระองค์ ออกไปทรงศึกษาในปี พ.ศ. ๒๔๒๘
เพื่อให้เป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ พระเจ้าลูกยาเธอที่มีพระชนมายุถึงกำหนดโสกันต์ได้ คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๔๒๗ ส่วนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดชนั้น โสกันต์ต่อมาภายหลัง
และเนื่องจากทั้ง ๔ พระองค์จะต้องเสด็จไปทรงศึกษา ณ ต่างประเทศซึ่งมิได้นับถือพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำรัสว่า พระเจ้าลูกยาเธอน่าจะได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้และข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาไว้เป็นพื้นฐาน ซึ่งมีประเพณีทรงผนวชของเจ้านายอันถือว่าเป็นการปฏิญาณมอบถวายพระองค์ไว้ในพระพุทธศาสนา ดังนั้น แม้ว่าเป็นระยะเวลาสั้น และพระเจ้าลูกยาเธอจะยังทรงพระเยาว์กว่าเจ้านายที่ทรงผนวชมาก่อน แต่ทรงตั้งพระทัยที่จะทรงผนวช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้จัดการทรงผนวชพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๔ พระองค์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๒๘ ณ วันพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นองค์อุปัชฌาย์
ในวันศุกร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๒๘ จึงลาผนวช เสด็จกลับเข้าประทับในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเตรียมพระองค์ก่อนที่จะเสด็จไปทรงศึกษา ณ ทวีปยุโรป ต่อไป
ทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมในกรุงลอนดอนเป็นเวลา ๓ ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์ศึกษาวิชาการฝ่ายผลเรือน ผลองค์ทรงเลือกเรียนวิชากฎหมาย เหตุที่ทรงเลือกวิชากฎหมายก็เนื่องจากเมืองไทยในเวลานั้นมีศาลกงสุลฝรั่งชาวยุโรป และอเมริกามีอำนาจในประเทศไทย ซึ่งยากแก่การปกครอง จึงมีพระทัยตั้งมั่นที่จะพยายามขอเลิกอำนาจศาลกงสุลต่าง ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศของเรา
มีเอกราชทางการศาลอย่างแท้จริง จึงทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายเพื่อจะได้กลับมาพัฒนากฎหมายของบ้านเมือง กับพัฒนาผู้พิพากษาและราชการศาลยุติธรรมให้ดีขึ้นเพื่อต่างชาติจะได้ยอมรับนับถือ และยอมอยู่ใต้อำนาจของศาลเรา
เสด็จในกรมฯ ทรงมีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงแสดงพระปรีชาสามารถสอบผ่านเข้าเรียน ณ สำนักไครสต์เชิร์ชมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้ เมื่อพระชันษาได้ ๑๗ พรรษา คราวแรกมหาวิทยาลัยไม่ยอมรับเข้าศึกษาอ้างระเบียบว่าพระองค์จะศึกษาได้ต้องมีพระชันษา ๑๘ พรรษา แต่ต้องจำนนด้วยเหตุผลที่ประองค์ท่านดำรัสว่า “คนไทยนั้นเกิดง่ายตายเร็ว” ดังนั้นจึงทดลองให้พระองค์สอบไล่อีกครั้ง ซึ่งก็ทรงสอบไล่ได้ในที่สุด พระองค์ทรงพระอุตสาหะเอาพระทัยใส่เป็นอย่างมาก สอบไล่ผ่านทุกวิชา ได้รับปริญญา B.A. ชั้นเกียรตินิยม ภายในเวลา ๓ ปี เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงยิ่งนักถึงกับทรงเรียกเสด็จในกรมฯ ว่า “เฉลียวฉลาดรพี”
เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร และทรงรับราชการ
เมื่อเสด็จกลับมาถึงกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์ทรงรับราชการในออฟฟิศราชเลขานุการ (สำนักเลขานุการ) และในกลางปีนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระองค์เป็นองคมนตรี
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมทรงรับตำแหน่งสภานายกพิเศษ ทรงจัดตั้งศาลในมณฑลอยุธยาเป็นแห่งแรก ทรงตัดสินคดีทั้งปวงด้วยพระองค์เอง โดยความรวดเร็วและยุติธรรม ปรากฏพระปรีชาสามารถเป็นที่นิยมยินดีทั่วไปในหมู่ประชาชนมณฑลนั้น นอกจากนั้นก็ได้มีการจัดตั้งศาลมณฑลนั้น และศาลมณฑลต่าง ๆ อีกหลายแห่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศตั้งให้เสด็จในกรมฯ เป็นเสนาบดีพระกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๙ ซึ่งขณะนั้นเสด็จในกรมทรงมีพระชนมายุเพียง ๒๒ พรรษาเท่านั้น นับได้ว่าเป็นเสนาบดีที่หนุ่มที่สุดในโลก เมื่อพระองค์ทรงได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมแล้ว ก็ได้ทรงเริ่มจัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงงานในกระทรวงยุติธรรมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้ารูปแบบสากลนิยม
พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ เป็นประธานตรวจพระราชกำหนดบทพระอัยการเก่าใหม่ พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการตรวจชำระบทพระอัยการครั้งนี้อย่างมาก โดยเฉพาะการจัดทำกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายไทยฉบับแรก หลังจากที่ประกาศใช้ประมวลกฎหมายฉบับดังกล่าวแล้ว พระองค์ยังทรงพระอุตสาหะนิพนธ์ตำราอธิบายตัวบทกฎหมายนั้นให้กระจ่างชัดเพื่อสะดวกแก่การศึกษา และตีความให้ตรงกับเจตนารมณ์ของผู้ร่างเดิม
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมเป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกา คณะกรรมการชุดนี้มีชื่อว่า “ศาลกรรมการฎีกา” ทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุดของประเทศแต่ไม่สังกัดกระทรวงยุติธรรม และในภายหลังได้กลายมาเป็นศาลฎีกา ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ เสด็จในกรมฯ ทรงได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัตรเป็นกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ตามโบราณประเพณีของไทย สำหรับพระองค์เจ้าพระองค์ใดที่บำเพ็ญคุณงามความดี อันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นอเนกประการ จะได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ เสด็จในกรมฯ ได้ทรงดำริจัดตั้งกองพิมพ์ลายนิ้วมือขึ้นที่กองลหุโทษได้ทรงสอนวิธีตรวจเส้นลายมือ และวิธีเก็บพิมพ์ลายมือสำหรับตรวจพิมพ์ผู้ต้องหาในคดีอาญา เพื่อให้เป็นหลักฐานในการเพิ่มโทษผู้กระทำความผิดหลายครั้งที่ไม่เข็ดหลาบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ลายมือที่กรมตำรวจรับผิดชอบอยู่ในปัจจุบัน
ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๓ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้ถวายหนังสือกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม นับรวมเวลาที่ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเวลาถึง ๑๔ ปี ตลอดเวลาเหล่านี้ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มความสามารถ ในระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
เป็นกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ใน ร.ศ. ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๕) สมเด็จพระมหาธีรราช พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรี สินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระราชดำริห์ว่า พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงพระปรีชาสามารถ และได้ทรงประกอบคุณงามความดีเป็นประโยชน์แก่ราชการแผ่นดินไว้เป็นอันมาก ทั้งเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีในพระองค์ โดยซื่อสัตย์สุจริตแท้จริงมิได้ขาดเลย เป็นผู้ที่เข้าพระทัยพระบรมราโชบายได้ง่าย เพราะมีทางที่ทรงพระดำริห์ต้องกันในกิจการโดยมาก จึงเป็นการสมควรที่จะเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และสมควรที่จะทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งพระองค์เจ้าต่างกรมผู้ใหญ่ได้พระองค์หนึ่ง จึงมีพระบรมราชโองการมา ณ พระบัณฑุรสุรสิงหนาทดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งให้เลื่อนพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ขึ้นเป็นกรมหลวงมีพระนามตามจาฤกในพระสุพรรณบัฎว่า พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ คชนามทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ ตามพระราชกำหนดอย่างพระองค์เจ้าต่างกรมในพระบรมมหาราชวัง ให้ทรงเลื่อนเจ้ากรมเป็นหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ถือศักดินา ๘๐๐, ปลัดกรมเป็นขุนวิชิตสมุทสงครามถือศักดินา ๖๐๐, สมุห์บัญชีเป็นหมื่นโพธารามประชุมพล ถือศักดินา ๔๐๐.
เสด็จในกรมฯ ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะในการทำงานอย่างดี เมื่อพระยามานวรราชเสวี ทูลว่า “ไม่เคยเห็นใครทำงานมากอย่างใต้ฝ่าพระบาทมีพระประสงค์อย่างไร” ทรงตอบว่า “รู้ไหมว่า My Life is Service” (ชีวิตของฉันเกิดมาเพื่อรับใช้ประเทศชาติ) และทรงยกคติพจน์ของชาวอังกฤษชื่อ Kingsley ให้ท่านฟัง
โดยรับสั่งว่า พระองค์ทรงยึดถือคติพจน์นั้นเป็นหลักประจำพระองค์ คือ
“ คนเราควรจะให้ แต่ไม่ควรจะขออะไรจากคนอื่น
ควรจะกินพอประมาณ ไม่ควรจะมากเกินไปถึงกับท้องกาง
ควรช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่เหยียบย่ำ
ควรจะรับใช้ ไม่ควรคิดเป็นนายคน”
การเลือกผู้พิพากษา และการเลื่อนชั้นผู้พิพากษา ของเสด็จในกรมฯ
ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลี้ยงข้าวแช่ในพระบรมมหาราชวัง มีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์เสด็จไปร่วมงานนี้ ทรงมีพระบรม ราชานุญาตให้เสด็จในกรมฯ นำนักเรียนเข้าเฝ้าเพื่อรับหน้าที่ปฏิบัติในการเลี้ยงครั้งนั้นด้วย ณ ที่นั้นได้ทรงมีพระราชดำรัสแก่เสด็จในกรมว่า “รพี พ่อได้ยินว่าผู้พิพากษากินเหล้ากันมากใช่ไหม ทำไมรพีจึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้น...” เสด็จในกรมฯ ทรงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะแล้วจึงกรามบังคมทูลว่า “ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้าฯ ในเวลาที่ข้าพระพุทธเจ้าจะเลือกผู้พิพากษาก็ดี เลื่อนชั้นผู้พิพากษาก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าถือหลักในใจอยู่เพียงสองข้อคือ ต้องมีสติปัญญาเฉียบแหลมเฉลียวฉลาดหนึ่ง และต้องมีความซึ่งสัตย์สุจริตอีกอย่างหนึ่ง พูดสั้น ๆ ต้องฉลาด และต้องไม่โกง ถ้าโง่ก็ไม่ทันคนอื่น โจทก์จำเลยจะต้มเอาได้ทำให้เสียความยุติธรรม แต่ถ้าฉลาดแล้วโกง ก็ทำให้เสียความยุติธรรมอีกเหมือนกันจะซ้ำร้ายไปกันใหญ่ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้สอบสวนหรือเอาใจใส่กิจธุระส่วนตัวของผู้พิพากษาแต่ละคน ใครจะกินเหล้าเที่ยวเตร่ นอกเหนืออำนาจของเสนาบดีจะพึงบังคับบัญชา...”
พระดำรัสนี้ควรหรือไม่แก่การที่จะเทิดทูนพระองค์ท่านไว้ในฐานะพระบิดา ที่พระองค์ทูลตอบไปเช่นนั้น พระองค์มิได้ทรงสนับสนุนให้ผู้พิพากษากินเหล้ายาเลย แต่พระองค์ทูลตอบไปอย่างที่พระบิดาที่ทรงปกป้องคุ้มครองภัยต่าง ๆ ที่จะกล้ำกรายมาถึงลูกไว้ก่อน พระกรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์นี้เป็นที่ประทับใจนักเรียนกฎหมายทุกคนในสมัยนั้น ซึ่งเรื่องในทำนองนี้ ฯพณฯ ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้เล่าไว้ว่า “พ่อผมเคยบอกว่า เสด็จในกรมฯเคยสอนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พระบาทเวลาสอนหนังสือบอกว่า “พวกเองจะกินเหล้ายาข้าไม่ว่า ขอแต่อย่ากินสินบน”
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ เป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการกับให้เลื่อนพระอิสริยยศขึ้นเป็น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ เสด็จในกรมฯ ทรงประชวรด้วยพระวัณโรคที่พระวักกะได้ขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาพักราชการรักษาพระองค์ และได้เสด็จไปรักษาพระองค์ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ เวลา ๒๑ นาฬิกา พระชนมายุ ๔๗ พรรษา อันนำความโศกเศร้าเสียใจมาสู่วงการนักกฎหมายไทยยิ่งนัก พระศพของพระองค์ท่านได้รับการประกอบพิธีถวายเพลิงพระศพ ณ กรุงปารีส และได้อัญเชิญพระอัฐิเข้ามากรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ได้มีพิธีบำเพ็ญกุศลฉลองพระอัฐิของพระองค์ โอกาสเดียวกันนั้นได้มีการจัดตั้งมูลนิธิ “รพีบุญนิธิ” ขึ้นเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ระลึกถึงพระคุณของเสด็จในกรมฯ ส่งนักกฎหมายไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งมีผู้ได้รับทุนนี้หลายท่าน เช่น ศาสตราจารย์ประมูล สุวรรณศร เป็นท่านแรก ต่อมาก็มี ฯพณฯ ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นต้น ท่านเหล่านี้ล้วนแต่ได้ชื่อว่าเป็นนักกฎหมายชั้นอาจารย์ ได้ประกอบกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก
จากโรงเรียนกฎหมาย จนกลายมาเป็นสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
การศึกษาเล่าเรียนในสมัยนั้นเป็นไปในวงแคบ ผู้ที่มีความรู้ในทางกฎหมายแทบจะนับตัวถ้วน ซึ่งผู้ใดที่ใคร่จะมีความรู้ในทางกฎหมาย ก็ต้องสมัครเข้าไปรับใช้การงานของท่านเสนาบดีบ้างท่านผู้ใหญ่ในวงการกฎหมายบ้าง เมื่อท่านเหล่านั้นเมตตาก็สั่งสอนให้ทีละเล็กละน้อย เสด็จในกรมฯ ทรงดำริว่า การที่จะรับราชการฝ่ายการศาลยุติธรรมให้เป็นไปด้วยดีนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีผู้รู้กฎหมายมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือ เปิดให้มีการสอนวิชากฎหมายขึ้นให้เป็นการแพร่หลายโดยให้โอกาสแก่บุคคลที่สนใจเข้าศึกษาได้ จึงได้ทรงตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) ได้ทรงพระอุตสาหะสละเวลามาประทานสอนวิชากฎหมายให้แก่นักเรียนด้วยพระองค์เองแต่แรกทุกลักษณะวิชา อาทิ บุคคล, ทรัพย์, ผัวเมีย, มรฎก, ฯลฯ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้พิมพ์ออกเป็นวิทยาทานแก่นักศึกษาและผู้สนใจในทางกฎหมาย จนกระทั่งในปี ร.ศ. ๑๒๘ ได้มีฉบับรวบรวมพิมพ์เล็กเชอร์ลักษณะต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๗ ลักษณะพิมพ์ออกเป็นวิทยาทาน, พิมพ์ที่โรงพิมพ์กองลหุโทษ เรียกกันว่า “เล็กเชอร์ราชบุรี.”
ในปี ร.ศ. ๑๒๐ (พ.ศ. ๒๔๔๔) พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้ทรงจัดพิมพ์กฎหมายตราสามดวง หรือนัยหนึ่งประมวลกฎหมาย จุลศักราช ๑๑๖๖ (พ.ศ. ๒๓๔๗) ขึ้นเป็น ๒ เล่ม โดยทรงเขียนคำอธิบายเพิ่มเติม ในการพิมพ์ครั้งนี้ได้ทรงตรวจชำระแก้ไขตัดทอนข้อความที่ยังคลาดเคลื่อนอยู่ให้ถูกต้องด้วย.
ในปี ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๑) เมื่อได้มีประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการให้ใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ นอกจากจะได้ทรงเป็นกรรมการในชั้นตรวจร่างดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังได้ทรงจัดทำอุทาหรณ์ และคำอธิบายตัวบทกฎหมายที่กล่าวนั้นพร้อมกับจัดทำฉบับเทียบ ซึ่งช่วยให้สดวกแก่การศึกษาและการแปลบทกฎหมายลักษณะนี้เป็นอย่างยิ่ง นับเป็น
ปัจจัยอันสำคัญซึ่งยังความสดวกให้แก่ผู้พิพากษา, อัยยการและทนายความในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอันมาก.1
โรงเรียนกฎหมายในสมัยนั้นจัดขึ้นเป็นกึ่งราชการคล้ายหอพระสมุดสำหรับพระนครและมีการสอบไล่เป็นเนติบัณฑิตครั้งแรกในปลายปีนั้น ซึ่งนักเรียนกฎหมายที่สอบไล่ได้ ๙ ท่าน ล้วนแต่เคยทำงานมาแล้ว คะแนนแบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นที่ ๑ มี ๔ ท่าน ชั้นที่ ๒ มี ๕ ท่าน ในชั้นที่ ๑ มีผู้ได้รับเหรียญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยา ๑ ท่าน คือ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ได้รับยกย่องว่าเป็น เนติบัณฑิตไทยคนแรก และต่อมาก็มีการสอบไล่เป็นประจำทุกปี มีเนติบัณฑิตไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี
เนื่องจากโรงเรียนกฎหมาย ซึ่งเสด็จในกรมฯ ได้ทรงจัดตั้งขึ้นมีการศึกษาเป็นปึกแผ่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาฯ โปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ให้ยกโรงเรียนกฎหมายขึ้นเป็นโรงเรียนหลวงอยู่ในกระทรวงยุติธรรม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงริเริ่มพระราชทานกำเนิด เนติบัณฑิตยสภาขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ต่อมามีพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ให้โรงเรียนกฎหมายอยู่ในความควบคุมของสภานิติศึกษา จนกระทั่งสมัยเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว โรงเรียนกฎหมายได้โอนไปรวมกับแผนกรัฐศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ อยู่ ๑ ปี เรียกว่า แผนกนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๗๗ รัฐบาลจึงจัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น หรือที่เรียกในปัจจุบันว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้โอนแผนกนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปดำเนินการสอนในมหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นใหม่นี้แยกเป็นอิสระส่วนหนึ่งต่างหาก
ครั้นต่อมาเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ทางเนติบัณฑิตยสภาได้จัดตั้งสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาขึ้น เพื่ออบรมให้นักศึกษาในทางกฎหมายได้มีความชำนิชำนาญเพิ่มเติมจากที่ได้ศึกษามาแล้วจากมหาวิทยาลัย โดยเริ่มเปิดการสอนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๑ การศึกษาในปีแรกเรียกว่า การศึกษาสมัยที่ ๑ และมีผู้สอบสำเร็จความรู้ชั้นเนติบัณฑิตได้ ๖ ท่าน ในสมัยแรกซึ่งท่านศาสตราจารย์จำรัส เขมะจารุ สอบได้อันดับที่ ๑ ของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
การศึกษาในทางวิชากฎหมายที่เป็นปึกแผ่นแน่นหนามาได้จนถึงทุกวันนี้ คงไม่มีใครโต้แย้งว่ามิใช่เป็นผลโดยตรงอันสืบเนื่องมาจากพระราชดำริ และพระอุตสาหะวิริยะของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ด้วยพระเกียรติคุณอันสุดจะพรรณนา ที่มีต่อประเทศชาติ และนักกฎหมายทั้งปวงเป็นอเนกประการทำให้ประชาชนทั่วไปขนานนามพระองค์ท่านว่า “พระบิดา และปฐมาจารย์แห่งนักกฎหมายไทย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น